กาลครั้งหนึ่งเมื่อนานมาแล้ว ณ วัดประจำหมู่บ้านแห่งหนึ่ง มีหลวงพ่อพจน์เป็นเจ้าอาวาสมีพระลูกวัดคือพระแดงและสามเณรโด่ง ทั้งสามรูปปฏิบัติกิจของสงฆ์อย่างไม่ขาดตกบกพร่องจนเป็นที่เคารพเลื่อมใสของชาวบ้าน กลางดึกของคืนหนึ่งในฤดูฝน ขณะที่สามเณรโด่งลงมาเข้าห้องน้ำก็เห็นแสงเรืองๆ คล้ายกับหิ่งห้อยลอยกลางอากาศ เณรโด่งไม่ได้สนใจนัก พอปลดทุกข์เสร็จแล้วกำลังเดินกลับกุฏิ แสงเรืองๆ นั้นก็ลอยเข้ามาใกล้ๆ จนเห็นชัดว่ามันไม่ใช่หิ่งห้อยอย่างที่คิด แต่มันคือ “ผีโพง” ที่มีรูปร่างหน้าตาคล้ายกับพระแดง สามเณรโด่งตกใจมากจนทำอะไรไม่ถูกจึงรีบเดินออกมา แต่ผีโพงก็ตามมาติดๆ ทำให้เณรโด่งกลัวจนแทบสติแตก ผีโผงถาม “จะไปไหนรึเณร หยุดคุยกับหลวงพี่ก่อนสิ” เสียงอันเยือกเย็นของผีโพงยิ่งทำให้สามเณรกลัวมาก แต่ยิ่งเขายิ่งกลัว และยิ่งหนีมากเท่าไรผีโพงก็จะยิ่งตามมาอย่างรวดเร็วมากเท่านั้น เมื่อถึงกุฏิหลวงพ่อพจน์ พอหันกลับมาก็ไม่เห็นผีโพงแล้ว แต่เณรก็ยังหวาดกลัวไม่หายจึงเคาะประตูเรียกหลวงพ่อพจน์ สามเณรกล่าว “หลวงพ่อ หลวงพ่อครับ” หลวงพ่อพจน์สะดุ้งตื่นทันทีเมื่อได้ยินเสียงเคาะประตู หลวงพ่อพจน์กล่าว “อ่าวเณร มีอะไรสำคัญหรือเปล่า ทำไมถึงมาดึกๆ ดื่นๆ” สามเณรตอบ “เมื่อกี้ผมไปเข้าห้องน้ำแล้วเจอผีโพงอยู่หน้าห้องน้ำ” หลวงพ่อพจน์กล่าวตอบ “เณรใจเย็นๆ นะ เจอพวกเขาก็แผ่เมตตาให้ ไม่ต้องกลัว” เณรเลยตอบไปว่า “แต่.. ผีโพงตนนั้นมันหน้าตาเหมือนกับหลวงพี่แดงน่ะสิครับ” หลวงพ่อพจน์เลยตอบกลับไปว่า “เณรตาฟาดไปหรือเปล่า พระแดงจะเป็นผีโพงได้ยังไง ก็เห็นๆ กันอยู่ว่าพระแดงชอบสวดมนต์ภาวนา ปฏิบัติดีมาโดยตลอด” เณรตอบอย่างลุกลี้ลุกลน “แต่ผมเห็นเป็นเขาจริงๆ นะครับหลวงพ่อ” หลวงพ่อได้แต่นิ่งยังไม่ให้คำตอบใดๆ ลึกๆ แล้วท่านก็ยังไม่เชื่อที่สามเณรพูด ทันใดนั้นเอง พระแดงกล่าวขึ้นว่า “มีอะไรกันหรือเปล่าครับ เสียงดังไปถึงกุฏิ ผมเลยรีบมาดูเกรงว่าจะเกิดเรื่องอะไร แล้วนี่เณรไปทำอะไรมา ดูท่าทางรีบร้อนสติไม่อยู่กับเนื้อกับตัว” สามเณรได้ยินเสียงพระแดงก็หันไปมองด้วยท่าทีที่หวาดกลัว หลวงพ่อพจน์เลยตอบกลับไปว่า “ก็เณรน่ะสิ บอกว่าเจอผีโพงที่หน้าห้องน้ำ หน้าตาของผีโพงคล้ายกับท่าน” หลวงพี่แดงกล่าว “โถ่.. เณรหลวงพี่จะเป็นผีโพงได้ยังไง เณรตั้งสติดีๆ สิ” เณรโด่งไม่พูดจาอะไรได้แต่ก้มหน้า หลวงพ่อพจน์เลยบอกว่า “อืม เอาล่ะเณร ในเมื่อพระแดงได้แสดงตัวแล้วว่าท่านไม่ใช่ผีโพงอย่างที่เณรเข้าใจ อย่างนั้นก็ไม่มีอะไรแล้ว นี่ก็ดึกมากแล้ว แยกย้ายไปจำวัดเถอะ พรุ่งนี้ต้องตื่นสวดมนต์ ธรรมวัด” หลวงพ่อพูดตัดทำให้ต่างคนก็ต่างกลับกุฏิของตนเอง หลวงพ่อพจน์ปิดประตูกุฏิ แต่ไม่ทันไรก็มีเสียงเคาะดังขึ้นอีกครั้ง ทำให้ท่านต้องเดินมาเปิดประตูอีกรอบ ก็พบกับผีโพงที่รูปร่างหน้าตาที่คล้ายกับพระแดงมาอยู่ตรงหน้า หลวงพ่อตกใจมากแต่ก็พยายามตั้งสติ ผีโพงกล่าว “หลวงพ่อไม่ต้องตกใจไปหรอก เราคงได้อยู่ร่วมวัดกันอีกนาน สักวันหลวงพ่อก็ต้องเห็นผมในสภาพนี้” ผีโพงหัวเราะเสียงดังลั่นกุฏิแล้วค่อยๆ หายไป หลวงพ่อพจน์เกิดความสับสนอยู่ไม่น้อย เพราะที่ผ่านมาพระแดงปฏิบัติดีมาโดยตลอด ไม่เคยข้องแวะกับวิชาอาคมใดๆ แล้วทำไมพระแดงถึงได้กลายเป็นผีโพง แม้จะได้เห็นกับตาแล้วว่า “พระแดงเป็นผีโพง” หลวงพ่อพจน์ก็ยังเกิดความไม่มั่นใจอยู่บ้าง ท่านจึงตัดสินใจแรกให้พระแดงกลับเณรโด่งเข้ามาหาในโบถ หลวงพ่อพจน์ถามพระแดงไปว่า “พระแดง ถ้าอาตมาจะถามอะไรสักอย่างขอให้ท่านตอบด้วยความเป็นจริง ห้ามมุสา” พระแดงตอบ “หลวงพ่อมีอะไรถามผมเหรอครับ ผมไม่เคยปิดบังหลวงพ่ออยู่แล้ว” หลวงพ่อพจน์เอ่ย “คืนนั้นหลังจากที่ท่านกลับกุฏิไปแล้ว ก็มีผีโพงมาปรากฏตัวที่หน้ากุฏิของอาตมา ผีโพงตนนั้นหน้าตาเหมือนกับท่านมาก เลยอยากรู้ว่าความจริงแล้วท่านเป็นผีโพงใช่หรือไม่” พระแดงตอบกลับไปอย่างตกใจ “หะ อะไรนะ นอกจากเณรโด่งแล้วยังมีหลวงพ่อที่เห็นว่าผมเป็นผีโพงอย่างนั้นเหรอครับ” หลวงพ่อพจน์ถามต่อ “แล้วท่านได้เป็นผีโพงหรือไม่ อยากให้ท่านตอบต่อหน้าพระประธานในพระอุโบสถแห่งนี้” พระแดงกล่าว “ผมไม่รู้ว่ามันเกิดอะไรขึ้นนะ แต่ผมไม่ได้เป็นผีโพงอย่างที่เณรกับหลวงพ่อเห็น ถ้าผมมุสาผมจะไม่ครองจีวรอีกต่อไป” หลวงพ่อพจน์ดูอากัปกิริยาของพระแดงแล้วก็ค่อนข้างเชื่อมั่นขึ้นมาบ้างว่าพระแดงไม่ได้เป็นผีโพง แต่สำหรับเณรโด่งแล้วเขายังไม่มั่นใจเพราะเขาได้เห็นกับตานั่นเอง แต่ถึงอย่างไรหลวงพ่อพจน์ก็ยังคงเฝ้าจับตาดูพระแดงอยู่ตลอด เพราะสิ่งที่ไม่คาดฝันก็เกิดขึ้นได้เสมอ ในคืนนั้นเองสามเณรโด่งเกิดปวดท้องหนักกลางดึกจนทนไม่ไหวรีบลงมาเข้าห้องน้ำ เมื่อเสร็จกิจเดินออกมาจากห้องน้ำก็เห็นแสงเรืองๆ ของผีโพงอีกครั้ง มันก็ลอยเข้ามาใกล้เรื่อยๆ ทำเอาเณรโด่งตกใจมาก เขารีบเดินจ้ำอ้าวเพื่อให้ถึงกุฏิของตนเองเร็วที่สุด ระหว่างนั้นพระแดงที่นอนไม่หลับ ก็ออกมาเดินจงกลมหน้ากุฏิพอดี เณรโด่งที่รีบเดินก็ไม่ทันมองจึงชนเข้ากับพระแดงอย่างจัง ทำให้เณรโด่งล้มลง พระแดงกล่าว “อ้าว.. เณรเจ็บตรงไหนหรือเปล่า” เณรโด่งตอบกลับอย่างลุกลี้ลุกลนว่า “อ้าว.. หลวงพี่แดง” เณรโด่งท่าทางหวาดกลัวพระแดงอย่างมาก แต่สิ่งที่ไม่คาดคิดก็เกิดขึ้น เมื่อผีโพงมันตามเณรโด่งมาติดๆ จนถึงหน้ากุฏิของพระแดง เณรโด่งตกใจและสับสนมาก เมื่อหันไปมองผีโพงที่มันมีหน้าตาละม้ายคล้ายคลึงกับพระแดง ส่วนพระแดงก็ยังยืนอยู่ตรงหน้าเขาอีกด้วย เณรโด่งพูดด้วยน้ำเสียงอึกอักว่า “นี่มันอะไรกันอะ พระแดงไม่ใช่ผีโพง แล้วผีโพงคือใคร” พระแดงก็ประหลาดใจไม่น้อยกว่าเณรโด่ง แต่เมื่อมองเห็นหน้าตาของผีโพงชัดๆ แล้ว ก็จำได้ทันที หลวงพี่แดงเอ่ยอยากตกใจว่า “หลวงพี่ดำ นั่นหลวงพี่ดำใช่ไหม คือ.. ท่านมรณะภาพไปแล้วไม่ใช่หรือ” ผีโพงตอบกลับไป “ข้ายังไม่ตาย ข้าแค่ปล่อยข่าวออกมาหลอกท่าน” หลวงพี่แดงจึงตอบกลับไปว่า “ท่านยังไม่ตาย แต่ท่านกลายเป็นผีโพง” หลวงพี่แดงตกใจเป็นอย่างมาก ที่เห็นสภาพของหลวงพี่ดำ ซึ่งเป็นแฝดผู้พี่ของตนเปลี่ยนไปจากพระธรรมดากลายเป็นผีโพงที่น่าหวาดกลัว ขณะที่หลวงพ่อพจน์ได้ยินเสียงคนคุยกัน จึงออกมาจากกุฏิแล้วจึงเห็นเหตุการณ์ทั้งหมด ท่านรู้สึกแปลกใจมาก เพราะคิดว่าพระดำมรณะภาพไปนานแล้ว แต่กลับกลายมาเป็นผีโพง หลวงพี่แดงกล่าว “หลวงพี่ดำ ถ้าผมทำอะไรให้ท่านไม่พอใจ ไม่ว่าจะเป็นเรื่องใดก็ตาม ผมขออโหสิกรรม ขอท่านอย่าได้จองเวรและเบียดเบียนกันเลย การให้อภัยไม่สามารถแก้ไขอดีตได้แต่เป็นการทำให้ตัวเองพ้นจากทุกข์ พ้นจากไฟแห่งความโกรธแค้นนะท่าน” ผีโพงได้ยินน้ำเสียงของหลวงพี่แดงที่เป็นของชายซึ่งมีท่าทีอ่อนโยนจึงเริ่มใจอ่อน แล้วหวนให้นึกถึงสมัยตอนเด็กที่โตมาด้วยกัน หลวงพี่แดงจะเป็นผู้เสียสละให้ท่านตลอด ไม่ว่าจะเป็นเรื่องใดก็ตาม จากนั้นพระทั้งสามก็เริ่มตั้งจิตแผ่เมตตาให้กับผีโพงตนนี้ จนทำให้ผีโพงลดความก้าวร้าวลง แล้วร่างของหลวงพี่ดำที่เป็นผีโพงนั้นก็ค่อยๆ หายไป หลังจากนั้นก็ไม่ได้ยินข่าวของหลวงพี่ดำที่เป็นผีโพงอีกเลย หลวงพี่แดงเล่าว่าเมื่อ 10 ปี ที่แล้วทั้งคู่ได้บวชพร้อมกัน และหลวงพี่ดำชอบฝักใฝ่ในวิชาอาคม เครื่องรางของขลังมักจะมีญาติโยมจากต่างถิ่นมาให้พระดำช่วยทำเสน่ห์ หรือไม่ก็ทำคุณไสยให้ตลอด หลวงพี่แดงไม่อยากให้พระพี่ชายทำเช่นนี้อีก จึงนำเรื่องนี้ไปบอกกับหลวงพ่อให้ตักเตือน หลวงพ่อจึงได้ว่ากล่าวหลวงพี่ดำ ในตอนนั้นมีญาติโยมเข้ามาได้ยินพอดี จึงไปร่ำลือให้คนในหมู่บ้านได้ฟัง ทำให้หลวงพี่ดำรู้สึกอับอาย เกิดความไม่พอใจเจ้าอาวาสและหลวงพี่แดง จนคิดไปเองว่าพระแดงคงอิจฉาริษยาตนที่เก่งกาจในวิชาอาคม และมีผู้ศรัทธามาก จึงผูกใจเจ็บตั้งแต่ตอนนั้น ด้วยความโกธรทำให้หลวงพี่ดำออกจากวัดไปโดยที่ไม่บอกใคร หลวงพี่ดำยังได้ปล่อยข่าวว่าตนมรณะภาพไปในป่า จึงทำให้หลวงพ่อกับหลวงพี่แดงคิดว่าหลวงพี่ดำจากโลกนี้ไปแล้วจริงๆ แต่ในระหว่างทางหลวงพี่ดำได้พบกับฆราวาสท่านหนึ่งที่มีความแก่กล้าในวิชาคงกระพัน หลวงพี่ดำจึงขอร่ำเรียนวิชาจงสำเร็จ แต่นานวันเข้าวิชาก็แก่กล้าขึ้นมามากขึ้นเรื่อยๆ มิหนำซ้ำหลวงพี่ดำก็ทำผิดครูจึงทำให้ของย้อนเข้าตัวเอง กลายเป็นผีโพง แต่การกลับมาของผีโพงหลวงพี่ดำในครั้งนี้ก็เพื่อทำให้สามเณรโด่งและหลวงพ่อพจน์เข้าใจผิด และหลวงพ่อพจน์ที่เข้าใจผิดคิดว่าหลวงพี่แดงเป็นผีโพง เพื่อให้หลวงพี่แดงถูกไล่ออกจากวัดหรือเกิดความอับอายจนทนอยู่ที่วัดไม่ได้ต้องลาสิกขาออกมา แต่แผนการของเขาก็ไม่ได้ผล และในตอนนี้เขาได้ให้อภัยกับสิ่งที่เกิดขึ้นทุกอย่างในอดีตแล้ว
หลวงพี่ผีโพง วัดหลอนสยองขวัญ
