กาลครั้งหนึ่งไม่นานนัก มีเด็กน้อนคนหนี่งเขาอาศัยอยู่กับปู่ ซึ่งมีฐานะค่อนข้างยากจน เขามีความรู้สึกว่า ไม่ว่าจะอยากได้สิ่งใดปู่ของเขาก็มักจะบอกว่าต้องให้รอก่อนอยู่ร่ำไป “เราต้องหัดปลูกผักกินเองนะหลานเอ๋ย จะได้ไม่ต้องไปซื้อคนอื่นเขากิน” เด็กน้อยก็ตอบกลับปู่ไปว่า “ท่านปู่ เราปลูกผักไว้แล้ว เมื่อไหร่ถึงจะได้กินหรือครับ?” “ก็ต้องรอให้มันเติบโตเสียก่อน สัก2-3 อาทิตย์” ปู่ตอบกลับเจ้าหลานตัวน้อย
วันหนึ่งเด็กน้อยอยากกินอาหารอร่อยๆ ในเมือง “ท่านปู่ๆ ข้าอยากกินติ่มซำในเมือง” ปู่ก็ได้ให้คำตอบประมาณเดิมว่า “รอก่อนนะหลานเอ๋ย เดี๋ยวเมื่อเราขายผลผลิตได้ดีแล้ว ปู่จะพาเจ้าไปกินนะ” เด็กน้อยเกิดคำถามมากมายขึ้นภายในจิตใจ ‘ทำไมนะ เราจะต้องรออยู่ร่ำไป’ ‘เวลาอยากได้อะไรสิ่งใด ทำไมไม่ได้เดี๋ยวนั้นเลย’ เมื่อคิดได้อย่างนั้นเขาจึงเดินเข้าไปถามปู่ของเขาว่า “ท่านปู่ครับ ทำไมเวลาข้าอยากได้สิ่งใดท่านถึงให้ข้ารออยู่ร่ำไป ไม่เคยได้อะไรทันใจข้าเลบสักที” ในที่สุดสิ่งเด็กชายตัวน้อยสงสัยมากตลอดก็ถูกเอ่ยออกจากปากเพราะทนเก็บความสงสัยไม่ได้อีกต่อ “ก็เพราะว่าเราไม่มีเงินน่ะสิหลานเอ๋ย เราก็เลยต้องรอให้เงินเราพร้อมเสียก่อน” ปู่ตอบอย่างยิ้มแย้ม “แล้วทำไมท่านไม่ไปหยิบยืมหรือเป็นหนี้มาก่อนเล่า ข้าเห็นชาวบ้านคนอื่นเขาก็เป็นหนี้กันทั้งนั้น เวลาอยากได้สิ่งใดจะได้ทันทันใจหน่อย” ปู่ของเจ้าเด็กน้อยจตึงได้สอนเขาว่า “หากไม่ใช่เรื่องจำเป็นสำคัญ เราก็ไม่ควรสร้างหนี้สินนะหลานรัก เพียงแค่เรานิดหน่อย เมื่อถึงเวลาก็ไม่ต้องเป็นหนี้สินแล้วอย่างไรล่ะ เราไม่มีหนี้ เราก็จะได้มีความสุขอย่างไรล่ะ” เด็กน้อยได้ฟังก็ยังไม่เข้าใจอยู่ดี ‘การรอคอยมันจะมีความสุขได้อย่างไร ข้าไม่เคยเห็นว่าข้าจะมรความสุขเสียที ต้องได้อะไรทันใจข้าสิถึงจะเรียกว่ามีความสุข’ เจ้าเด็กน้อยนึกคิดขึ้นมาภายในใจ
นานวันเข้าเขาก็เริ่มรู้สึกว่าจะทนไม่ไหวกับปู่ของเขาเข้าไปทุกที “ท่านปู่ เมื่อด่านจะซื้อเรือลำใหม่เสียที เรือลำเก่ามันเริ่มจะพังแล้ว ข้าเห็นท่านซ่อมแล้วซ่อมอีกอยู่นั่นแหละ อยากจะไปไหนไกลๆ ก็ไม่กล้าไปกลัวแต่ว่ามาจะรั่วอยู่กลางทาง” เมื่อปู่ได้ยินดังนั้นก็อธิบายให้หลานชายตัวน้อยฟัง “ปู่ก็กำลังเงินอยู่นะหลายเอ๋ย เรือมันราคาแพง เราคงต้องเก็บเงินอีกหลายเดือนหน่อย” เมื่อได้ฟังคำอธิบายของปู่เขาก็รู้สึกไม่พอใจกับชายชราตรงหน้าเป็นอย่างมากจึงวิ่งหนีออกไป “เฮ้อ… ข้าเบื่อเสียจริงเลย” เมื่อวิ่งหนีออกมาไกลพอควรเจ้าเด็กน้อยก็บ่นกับตนเอง “ข้าคงทนไม่ไหวอีกต่อไปแล้ว ทำไมปู่ของข้าจึงเป็นคนที่ผิดแปลกจากชาวบ้านคนอื่นเช่นนี้ ชาวบ้านคนอื่นเวลาที่เขาอยากได้สิ่งใด ก็แค่เป็นหนี้เขาก็ได้สิ่งที่ต้องการมาแล้ว ไม่เห็นต้องรอเนิ่นนานอย่างข้าถึงเพียงนีเลย” เจ้าเด็กน้อยเอ่ยถ้อยคำออหมาไม่หยุด “เห็นทีว่าข้าต้องลองขึ้นเขาปัญญายุทธ์ เพื่อไปขอคำแนะนำจากท่านนักพรตเฉินกุ้ยเซียงดูเสียหน่อยแล้ว ว่าจะแก้ไขนิสัยของท่านปู่ได้อย่างไร” เมื่อคิดได้ดังนั้นแล้วเด็กน้อยก็ได้เดินทางไปยังเขาปัญญายุทธ์ในทันที
เมื่อไปถึงเขาปัญญายุทธ์
“คารวะท่านอาจารย์“ เด็กน้อยเอ่ยทักทายบุคคลตรงหน้า “มาหาข้าถึงที่แห่งนี้มีเรื่องเดือดเนื้อร้อยใจอันใดอย่างนั้นหรือเด็กน้อย” ท่านผู้นั้นเอ่ยถามด้วยน้ำเสียงที่ฟังดูเยือกเย็นแต่ก็อบอุ่นแฝงอยู่ในน้ำเสียงนั้น เด็กน้อยจึงได้เล่าเรื่องราวที่เกิดขึ้น ให้ท่านเฉินกุ้นเซียงฟัง ท่านได้ฟังเช่นนั้นแล้วจึงเอ่ยว่า “การรู้จักรอคอยนั้นเป็นสิ่งที่ดี เป็นจุดเริ่มต้นของการรู้จักยับยั้งชั่งใจ ซึ่งเป็นบ่อเกิดของความเพียร แล้วเหตุใดเจ้าจึงคิดว่าท่านปู่ของเจ้านั้นไม่ดีอย่างนั้นเล่า” ท่านผู้นั้นถามกลับด้วยน้ำเสียงราบเรียบดั่งนักปราชญ์แค่ก็แฝงไปด้วยมวลบางอย่างที่อธิบายไม่ถูก “ข้าน้อยก็เห็นว่าพวกชาวบ้านคนอื่นเขาก็ยังไม่เห็นต้องรอคอยอะไรเลย อยากได้สิ่งใดก็มีได้เลยทันที หากไม่มีเงินก็ไปหยิบยืมเป็นหนี้สินก็ได้นี่หน่า” เจ้าเด็กน้อยตอบในสิ่งที่ตนคิดด้วยความคิดของเด็กในวัยไปกี่สิบปี “การเป็นหนี้นั้นทำให้เป็นวิตกกังวล และเมื่อจ่ายคืนก็ย่อมต้องจ่ายคืนมากกว่าเดิม จึงทำให้ความสุขนั้นลดลง แต่หากรู้จักรอได้ รอให้เป็น เมื่อรอเราก็ยังมีความสุขที่ได้คิดถึงสิ่งที่อยากได้ และเมื่อได้มาด้วยความยากลำบากสิ่งนั้นย่อมมีคุณค่าทางจิตใจมากกว่า และทำให้มีความสุขมากกว่าเดิมนะ” เมื่อได้ยินอย่างนั้นเด็กน้อยก็ตอบกลับทันทีที่ท่านผู้นั้นพูดจบ “มันจะเป็นไปได้อย่างไร ในเมื่อข้าน้อยก็ไม่เห็นจะมีความสุขเลยสักนิด ยิ่งรอยิ่งเหมือนจะขาดใจ ข้าน้อยไม่เชื่อหรอกว่าจะเป็นเช่นนั้นได้ ข้าน้อยอยากได้ของวิเศษที่ช่วยทำให้ท่านปู่ของข้าเปลี่ยนนิสัยให้ตายใจข้า ถ้าข้าอยากได้สิ่งใดตอนไหนท่านปู่ต้องซื้อให้ข้าทันทีเลย ท่านอาจารย์มีของสิ่งนั้นหรือไม่ครับ” เมื่อเฉินกุ้ยเซียงได้ฟังเช่นนั้นก็ครุ่นคิดสักครู่แล่วเอ่ยว่า “ของวิเศษที่เปลี่ยนจิตใจคนได้อย่างนั้นหรือ อืม… ที่เกาะกลางบึงน้ำแห่งหนึ่งมีแมลงประหลาดที่บินได้และมีแสงสว่างในตัวเอง หากเจ้าจับแมลงตัวนี้ได้ เจ้านึกสิ่งใดก็จะได้ดั่งใจเจ้าปรารถนา” เด็กน้อยฟังแล้วนึกภาพตามถึงแมลงตัวนั้นบอกเอ่ยออกมาว่า “ข้าน้อยไม่เคยเห็นแมลงประหลาดแบบนั้นเลย มันมีอยู่จริงๆ อย่างนั้นหรือท่านอาจารย์ ถ้าเป็นเช่นนั้นเกาะที่ว่านั่นอยู่ที่ไหนอย่างนั่นหรือครับท่านอาจารย์” เฉินกุ้ยเซียงจึงได้บอกทางไปยังเกาะแห่งนั้น เมื่อเด็กน้อยได้ทราบแล้วเขาจึงได้ขอตัวลากลับเพื่อไปจับแมลงประหลาดนั้น หันหลังกลับออกมาได้ไม่กี่ก้าวเฉินกุ้ยเซียงได้เอ่ยตามหลังอย่างเป็นปริศนาว่า “ทุกสิ่งล้วนมีเวลาของมัน” เป็นเสียงเย็นๆ ที่ลอยมาตามลม
เด็กน้อยได้เดินทางไปยังเกาะกลางบึงน้ำที่เฉินกุ้ยเซียงบอกในทันที แต่เมื่อไปถึงกลับไม่พบแมลงประหลาดที่ว่านั่นเลย “ไหนแมลงประหลาดที่ท่านอาจารย์ว่า ข้าไม่เห็นเลยสักตัวเดียว กลับไปถามท่านอาจารย์เฉินกุ้ยเซียงใหม่ดีกว่า” เมื่อเด็กน้อยบ่นกับตนเองจบเขาจึงได้เดินทางกลับไปหาเฉินกุ้ยเซียงอีกครั้ง “ท่านอาจารย์ครับ ข้าน้อยได้เดินทางไปถึงเกาะกลางบึงน้ำแห่งนั้นที่ท่านว่าแล้ว เหตุใดจึงไม่เห็นมีแมลงประหลาดที่ว่านั่นเลยสักตัวเดียว” เฉินกุ้ยเซียงได้ยินเช่นนั้นแล้วจึงตอบเด็กชายตัวน้อยด้วยใบหน้าที่ยิ้มแย้มว่า “อ้าว นี่เจ้าไปหามันในตอนกลางวันอย่างนี้เลยเหรอ” “ใช่ครับ” เด็กน้อยตอบ “ไม่ตอนกลางวันไม่ได้หลอก เจ้าแมลงประหลาดชนิดนี้มันมักจะออกมาให้เห็นได้แค่ตอนกลางคืนเท่านั้น” เฉินกุ้ยเซียงตอบยิ้มแย้มอย่างอบอุ่น เมื่อเด็กชายตัวน้อยได้ทราบดังนั้นแล้วเขาจึงขอตัวลากลับ และได้เดินทางไปยังเกาะกลางบึงน้ำแห่งนั้นอีกครั้งในเวลากลางคืน
เด็กน้อยได้ถือคบไฟไปด้วย เขาถือคบไฟส่องไปจนทั่วบริเวณแต่ก็ไม่พบแมลงประหลาดที่ว่านั่นเลยแม้แต่ตัวเดียวอีกเช่นเคย “ไหนท่านอาจารย์บอกข้าว่า แมลงประหลาดนั่นจะออกมาในเวลากลางคืน นี่ข้าก็มาตอนกลางคืนแล้วทำไมไม่เห็นเจอแมลงประหลาดที่ว่านั่นอีกตามเคย” พรุ่งนี้ข้าต้องกลับไปถามท่านอาจารย์อีกเสียแล้ว วันต่อมา เด็กน้อยก็ได้กลับไปหาเฉินกุ้ยเซียงอีกครั้ง “ท่านอาจารย์ ข้าน้อยก็ไปตอนกลางคืนแล้ว เหตุใดจึงยังไม่พบแมลงประหลาดที่ว่านัดอีกเช่นเดิมเหล้า” เมื่อท่านผู้นั้นได้ยินสิ่งที่เด็กน้อยออกมาทันทีที่พบหน้ากัน ก็ถามกลับดึกน้อยด้วยใบหน้าที่ยิ้มแย้มว่า “จะไปหามันอย่างไรงั้นหรือ” เด็กชายตัวน้อยเสียงเจื้อยแจ้วว่า “ ข้าน้อยก็พายเรือไปแล้วถือคบไฟส่องหามันอย่างไรล่ะ” เฉินกุ้ยเซียงตอบกลับดึกน้อยว่า “อ้าว… แมลงชนิดนี้มันไม่ชอบความร้อน เหตุใดเจ้าจึงถือคบไฟไปมาแบบนั้น มันก็หนีไปกันหมดน่ะสิ” เด็กชายตัวน้อยเมื่อได้ฟังดังนั้นก็รีบขอตัวลากลับก่อน แล้วก็ได้กลับไปยังบึงน้ำแห่งนั้นอีกครั้งในตอนกลางคืน แต่เมื่อเขาเดินทางในตอนกลางคืนอันมืดมิดเขาจึงมองไม่เห็นทางแล้วไปได้ไม่ถึงไหนก็พลัดตกน้ำเสียก่อน “ไม่ไหวไม่ไหว มันมืดมิดออกอย่างนี้ถ้าไม่มีแสงไฟข้าจะไปถึงเกาะกลางบึงน้ำด้านได้อย่างไรกันเล่า ต้องกลับไปถามท่านอาจารย์อีกเสียแล้ว” วันรุ่งขึ้นเมื่อเขากลับไปหาเฉินกุ้ยเซียงอีกครั้ง “ท่านอาจารย์ ข้าน้อยสมควรที่จะไปยังเกาะการดำเนินงานอีกครั้งในตอนกลางคืน แต่เมื่อไม่มีคคบไฟก็มองไม่เห็นทาง ถ้านายไปถึงได้อย่างไรกันเล่า” เฉินกุ้ยเซียงถึงเด้อต่อไปว่า “เจ้าก็ต้องไปตั้งแต่ตอนกลางวันสิ แล้วจึงรอให้ถึงตอนกลางคืนที่นั่นเอา” เด็กน้อยดื้อจังวิธีการก็ดีใจเป็นอย่างมากจึงรีบทำตอนที่เฉินกุ้ยเซียงแนะนำในทันที “นั่นสินะ คาร์เนชั่นไม่ฉลาดเอาเสียเลย ข้าน้อยขอตัวลาท่านอาจารย์อีกครั้ง” ฮัลโหลเด็กชายตัวน้อยก็ได้เดินทางไปยังต่อการดึงมาอีกครั้งในตอนกลางวัน แล้วเขาก็นั่งลงที่ก้อนหินเพื่อรอให้ถึงกลางคืนด้วยใจมุ่งหวัง เด็กน้อยก็รอไปทางจินตนาการไปพลางๆ ถึงแล้วเจอของแมลงประหลาดนั้นว่าจะเป็นอย่างไร “แมลงที่มีแสงสว่างในตัวเอง ข้าไม่เคยเห็นมาก่อนเลย หน้าตามันจะเป็นอย่างไรนะตัวมันจะร้อนหรือเย็นกันนะ” และเมื่อกลางคืนมาถึง เขาก็ได้เห็นแมลงตัวหนึ่งบิลมา มันมีแสงสว่างในตัวเองอย่างที่เฉินกุ้ยเซียงว่าไว้จริงๆ “นั่นไงข้าเห็นแมลงนั่นแล้ว” เด็กน้อยรีบเดินเข้าไปแล้วเอื้อมจับแมลงได้อย่างง่ายดาย “นี่ไงข้าจับได้แล้ว ข้าต้องรีบนำกลับไปให้ท่านอาจารย์ดูแล้ว ข้าจะได้สมปรารถนาเสียที่” ในขณะนั้น ก็มีสิ่งหนึ่งเกิดขึ้น ดุจดั่งสายลมแห่งปัญญาได้พัดผ่านเข้ามา ฝูงหิ่งห้อยนับร้อยนับพันส่องแสงระยิบระยับเต็มท้องฟ้าเต็มไปหมด เด็กน้อยพึ่งเคยเห็นสิ่งนี้เป็นครั้งแรกในชีวิตทำให้เขารู้สึกอัศจรรย์ใจเป็นอย่างมาก “ทำไมเข้าจึงเพิ่งเคยเห็นสิ่งที่งดงามอย่างนี้เป็นครั้งแรกนะ ทั้งที่ป่าแถบนี้ข้าก็เคยผ่านไปผ่านมาอยู่บ่อยครั้ง แต่กลับไม่เคยเห็นอะไรที่มหัศจรรย์อย่างนี้มาก่อนเลย คงเป็นเพราะข้าไม่เคยรู้จักการรอคอยนั่นเอง” เมื่อคิดได้ดังนั้นเด็กชายตัวน้อยก็รู้สึกเบิกบานใจและได้ปล่อยแมลงตัวที่เขาจับไว้นั้นออกจากมือไป “ข้าคงไม่ต้องใช้เจ้าแล้วล่ะเจ้าแมลงตัวน้อยเอ๋ย บัดนี้ ค่าเข้าใจในสิ่งที่ท่านอาจารย์กล่าวไว้แล้ว ว่าความสุขของการรอคอยนั้นคืออะไร” ตั้งแต่นั้นมาเด็กน้อยก็เลิกเป็นคนที่ใจร้อนด่วนได้ เขาเรียนรู้ที่จะปล่อยวางไม่นำใจไปผูกติดกับสิ่งที่อยากได้จนทำให้รู้สึกกระวนกระวายใจ และแล้วเขาก็ได้รู้จักความสุขจากการรอคอยในที่สุด ปัญญายุทธจากเรื่องนี้การรอนั้นเป็นจุดเริ่มต้นของความยับยั้งชั่งใจและความเพียร การรู้จัก รอได้เป็นนั้น เป็นอุปนิสัยที่ดีอย่างหนึ่งของผู้ที่จะประสบความสำเร็จ เพราะการทำงานใหญ่ย่อมไม่สามารถทำให้สำเร็จได้ในเร็ววัน หากไม่รู้จักรอให้เป็น เย็นให้ได้ คิดจะอยากให้ความสำเร็จมาถึงเร็วๆ แล้วก็อาจจะทำให้รู้สึกเขาแท้และล้มเลิกไปเสียกลางคันโดยง่าย